หลักการการทำงานของ Fragment ใน Virtual DOM
เมื่อพูดถึง Virtual DOM หลายคนก็มักจะนึกถึง React, Library แรกที่เริ่มใช้ Virtual DOM ในการทำงาน แต่ว่าข้อจำกัดของ React สมัยก่อนคือการที่มี Root Node ได้แค่อันเดียว และเวลาจะ render อะไรก็ต้องมี wrapper เพื่อให้ Render ได้
ใน React 0.x แบบนี้ถือว่าใช้ได้
const Card = () => (
<div>
<h1>Hello World</h1>
<p>I'm written in Virtual DOM</p>
</div>
)
render(Card, document.body)
แต่แบบนี้ถือว่าใช้ไม่ได้
const Card = () => (
<h1>Hello World</h1>
<p>I'm written in Virtual DOM</p>
)
render(Card, document.body)
การที่เราสร้าง Multiple Root Node ไม่ได้เป็นเพราะว่าโครงสร้างของ Virtual DOM ไม่ได้ support มาให้สามารถทำได้แต่แรกแล้ว
โดย JSX ที่เราเขียนจะถูกแปลงเป็น Function สำหรับการสร้าง Object ขึ้นมา หมายความว่า JSX นี้:
<h1>Hello World</h1>
จะถูกแปลงเป็น Function React.createElement แบบนี้
h(
'h1',
null,
'Hello World'
)
เพราะว่า JavaScript ไม่สามารถที่จะประมวลผลกับ DOM โดยตรงได้ เลยจำเป็นที่จะต้องแปลง DOM เก็บไว้ในรูปแบบอื่นเพื่อให้ทำงานใน JavaScript ได้
ถ้าหากว่ายังไม่เคยได้อ่านหลักการและโครงสร้างของ Virtual DOM การทำงานของ Virtual DOM ก็แนะนำให้อ่านบทความนี้ก่อน
React.render
React.render() จะรับค่าของ React Element เข้ามาหนึ่งตัวโดยกำหนดว่าจะต้องมี Root Node แค่ตัวเดียว (ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ React รับค่ามาแค่ตัวเดียวเหมือนกัน)
render(Card, document.body)
ส่วนจะมี childNodes กี่ตัวก็ได้แล้วแต่อยากให้มีเลยเพราะว่าการ Hydrate ของ Virtual DOM เป็น Recursive Function โดยทุกๆ childNodes จะถูกประมวลผลเหมือน Root Node ทำให้จะมี childNodes กี่ตัวก็ได้เพราะยังไง React ก็จะประมวลผลทีละตัวอยู่ดี
แต่่ว่าในตั้งแต่ React 16.2 ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
Fragment
Fragment เป็น JSX Element ของ React ที่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาของ Root Node เดียวได้โดยการแทนตัวเองเป็น Root Node แล้วตัวเองจะไม่ถูก Render ออกมา
import React, { Fragment } from 'react'
const Card = () => (
<Fragment>
<h1>Hello World</h1>
<p>I'm written in Virtual DOM</p>
</Fragment>
)
render(Card, document.body)
ที่ถูก Render ออกมาก็จะเป็น childNodes ที่ไม่มี Fragment:
<body>
<h1>Hello World</h1>
<p>I'm written in Virtual DOM</p>
</body>
ทีนี้ก็จะไม่มี wrapper มาครอบให้กวนใจอีกต่อไป~ ถือว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ฉลาดมากของทีม React
แต่ว่าคำถามก็คือมันใช้ได้ แต่ว่าหลักการ การทำงานของมันคือยังไงกันแน่
หลักการของ Fragment
Fragment เป็นหลักการ การสร้าง Document Object ที่ไม่มี Parent Element
โดยจะเก็บเพียงแค่ ChildNodes เอาไว้ เวลาถูก Render ออกมาจะไม่มีตัวเองจะไม่ถูกแสดง
ออกมาและถูกลบทิ้งไปเหลือไว้แค่ childNodes
โดยจริงๆ แล้ว Fragment ได้หลักการมาจาก Document Fragment อีกทีนึง ซึ่งสามารถใช้ใน DOM จริงๆ ได้โดยการสร้าง:
let fragment = document.createDocumentFragment()
หรือจะสร้างจาก class ก็ได้ แต่นิยมใช้แบบด้านบนมากกว่า:
let fragment = new DocumentFragment()
โดยปกติแล้วเราจะไม่สามารถเก็บ Document Object หลายๆ อันไว้ใน ตัวแปรเดียวกันโดยไม่ใช้ Array หรือ Object ที่เอาไปใช้กับ DOM ตรงๆ ไม่ได้ Fragment เลยถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้
เวลาที่ Fragment ถูก append เข้าไปใน DOM จะเหลือเพียงแค่ childNodes โดยหลักการนี้ก็ถูกใช้ใน Shadow DOM เหมือนกัน
let fragment = document.createDocumentFragment(),
h1 = document.createElement('h1')
h1.appendChild(document.createTextNode("Hello World"))
console.log(h1) // Document Fragment: <h1>Hello World</h1>
fragment.appendChild(h1)
fragment.appendChild(h1)
console.log(fragment) // Document Fragment: <h1>Hello World</h1><h1>Hello World</h1>
document.body.appendChild(fragment)
ซึ่งถ้าเราลองไปดูใน body ก็จะเห็นได้ว่าจะมีแค่ h1
ที่เราตั้งไว้ถูก render ออกมาเท่านั้น:
<body>
<h1>Hello World</h1>
<h1>Hello World</h1>
</body>
Fragment ทำให้การเก็บตัวแปรของ Document Object ไว้ในตัวแปรเดียวเป็นไปได้ แล้วก็สามารถเอาไปใช้กับ DOM ได้ตรงๆ เลย
React.Fragment
โดย React ได้เอาแนวคิดของ Fragment ตรงนี้เข้ามาใช้ โดยการสร้าง Document Fragment ขึ้นมาแทนกับตำแหน่งต่างๆ ของ Virtual DOM
โดยจริงๆ แล้ว React ก็ไม่ได้ใช้ createDocumentFragment() ตรงๆ อย่างเดียว แต่การหลักการหลักๆ ก็คล้ายๆ กับ Document Framgnet นั่นแหละ
แต่ดูเหมือนว่าอะไรๆ จะไม่เป็นไปได้อย่างที่คิดง่ายๆ เพราะว่าถึงแม้ว่าเราจะ hydrate Virtual DOM ไปแล้ว แต่ว่าใน Virtual DOM ก็จะยังจำ Fragment ว่าเป็น Element ตัวหนึงที่ต้องถูก append ออกมาอยู่ดี
React เลยจำเป็นต้องมีการ Map Attributes และยกเว้นการเช็คเมื่อมี Fragment
เข้ามาใช้อีกทั้งยังต้องข้ามการ Diff เมื่อมี Fragment
ถูกใช้งาน
ดังนั้นจะบอกว่าการเพิ่ม document.createDocumentFragment() เข้าไปเฉยๆ ก็ไม่สามารถที่จะทำได้ง่ายซักเท่าไหร่
import React, { Fragment } from 'react'
const App = () => (
<Fragment>
<h1>Hello World</h1>
<p>I'm written in Fragment</h1>
</Fragment>
)
โดยใน React ได้มีการประกาศใน JSX.InstinctElement ว่า Fragment เป็น Valid Element ซึ่งต้องแลกมาด้วยการเพิ่ม if-else เข้ามาอีกนิดหน่อย รวมถึงการ Validate ว่า childNodes มีจริงหรือเปล่า แต่ก็แลกมาด้วย Developer Experience ที่ดีขึ้น
ดังนั้นเวลาแปลงเป็น Object ก็จะเทียบง่ายๆ ได้เป็น
{
...
childNodes: [
{
type: 'h1',
...
}
]
}
โดยเดิมที่ Fragment จะถูกแทนที่ด้วยการที่ไม่มี type
ที่แสดงถึง nodeName เหมือนกับ Element อื่นๆ
console.log(<h1 />) // { type: 'h1', ... }
console.log(<Fragment />) // { ... }
ทำให้การที่เราเขียน Element ที่ไม่มีชื่อกลายเป็น Fragment โดยอัตโนมัติ:
console.log(<></>) // { ... }
ดังนั้นจริงๆ แล้ว Fragment ก็แค่ component ที่ render <></>
ออกมาแค่นั้น เพราะว่าสำหรับบางคนการที่ Element มีชื่อมันค่อนข้างที่จะ Make Sense มากกว่า Element ที่ไม่มีชื่อเลยทำให้มี Module แยกออกมา
import React, { Fragment } from 'react'
const Card = () => (
<Fragment />
)
อีกทั้ง Element ที่มีชื่อจะสามารถทำเป็นแท็ก Self Closing ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็คงไม่มีใครใช้ Fragment แบบไม่มี childNodes อยู่แล้ว
<Fragment /> // Valid
<></> // Valid
< /> // Not Valid
เวลาจะสร้าง Document Fragment ก็แค่คือการข้าม type ที่เป็น undefined แล้วแทนเป็น Fragment โดยการสร้าง Document Fragment ขึ้นมาเก็บ
ถ้าจะให้เห็นเป็นภาพ เราสามารถ mock code ได้แบบนี้:
// Mock create DOM from vNode
const create = (vnode) => {
let _node
if(typeof _node.type !== "undefined")
if(validate(_node.type))
_node = document.createElement(_node.type)
else
throw ("Invalid Element")
else
_node = document.createDocumentFragment()
...
Some Code
...
return _node
}
ทำให้เราสามารถที่จะ Append vNode ที่เป็น Fragment ออกมาได้เหมือนกับว่ามี Root Node หลายอันได้ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วเรามี Root Node อยู่ก็คือ Fragment เพียงแค่ว่าเรามองไม่เห็นแค่นั้นเอง